svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

เขย่าขวัญลอนดอน! รถแวนพุ่งชนฝูงชน ใกล้มัสยิดทางตอนเหนือ เจ็บนับสิบ

19 มิถุนายน 2560
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

เขย่าขวัญลอนดอน! เกิดเหตุร้ายซ้ำอีกเมื่อรถแวนพุ่งชนฝูงชนที่ถนน Sevem Sisters ใกล้มัสยิดใน Finsbury Park ทางตอนเหนือของลอนดอนเมื่อเวลา 12.20 น. หรือช่วงเช้าวันนี้ตามเวลาในไทย คาดเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายเป็นชาวมุสลิม และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกนับสิบราย ตำรวจจับกุมผู้ต้องสงสับได้ 1 คน ขณะที่การเจรจา Brexit เริ่มด้นอย่างเป็นทางการแล้ว โดยภาคธุรกิจเรียกร้องมให้เป็น Soft Brexit ที่ยังคงมีการค้าอยู่ในตลาดร่วม Single Market ของยุโรปต่อไป ถึงแม้ว่าอังกฤษกำลังจะแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปในอีก 2 ปีข้างหน้าก็ตาม

ขณะที่การเลือกตั้งในฝรั่งเศสโดยพรรคของ Emmanuel Macron ชนะถล่มทลายได้ที่นั่งส.ส.อย่างน้อย 400 ที่นั่งจาก 577 ที่นั่ง โดยที่พรรคชาตินิยมขวาจัดของ Marine Le Pen ได้มาเพียง 6 ที่นั่งในการเลือกตั้งรอบ 2 เมี่อวันอาทิตย์ ท่ามกลางชาวฝรั่งเศสที่ออกมาใช้สิทธิ์บางตาเพียง 35.33% ต่ำที่สุดในรอบ 20 ปี บ่งชี้ความท้าทายเฉพาะหน้าของ Macron ต้องเร่งสร้างความปรองดองของชาวฝรั่งเศสที่มีความขัดแย้งค่อนข้างสูงตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
ด้านวุฒิสภาสหรัฐผ่านร่างกฎหมายแซงก์ชันรัสเซียฉบับใหม่ เนื่องจากสาเหตุการเข้าแทรกแซงแลือกตั้งสหรัฐในปี 2016 ที่ผ่านมา และเพื่อให้เกิดปนะโยชน์ต่อการส่งออกก๊าซธรรมชาติของสหรัฐด้วยนั้น แต่ส่งผลกระทบต่อการซื้อขายก๊าซธรรมชาติของรัสเซียกับหลายประเทศในยุโรป โดยล่าสุดรัฐบาลเยอรมันและออสเตรียได้ออกแถลงการณ์ประท้วงว่า อาจจะส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับยุโรปในทางลบมากขึ้น

1.เกิดเหตุร้ายซ้ำอีก เมื่อรถแวนไล่พุ่งชนฝูงชนจนมีผู้ได้รับบาดเจ็บนับสิบและมัผู้เสียชีวิต 1 คน ที่ถนน Sevem Sisters ใกล้มัสยิดที่เคยปรากฏเป็นข่าวว่ามีการซ่องสุมของกลุ่มก่อการร้ายใน Finsbury Park ทางตอนเหนือของลอนดอนเมื่อเวลา 12.20 น. หรือช่วงเช้าวันนี้ตามเวลาในไทย คาดเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายเป็นชาวมุสลิมที่มาทำพิธีทางศาสนา
ทั้งนี้ พยานผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า รถตู้คันดังกล่าวได้พุ่งเข้าใส่ฝูงชนชาวมุสลิมที่กำลังเดินทางออกมาจากมัสยิด หลังจากที่เสร็จการละหมาดในเดือนรอมฎอน โดยภายหลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมคนร้ายได้ 1 คน
ขณะเดียวกันการเจรจา Brexit เริ่มด้นอย่างเป็นทางการแล้วในวันที่ 19 มิถุนายน เพื่อนำอังกฤษแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปเป็นไปตามผังเวลาภายในเดือนมีนาคม 2019 โดยภาคธุรกิจเรียกร้องมให้เป็น Soft Brexit ที่ยังคงมีการค้าอยู่ในตลาดร่วม Single Market ของยุโรปต่อไป

2.Emmanuel Macron ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ยังคงต้อเผชิญหน้ากับความท้าทายเฉพาะหน้า ต้องเร่งสร้างความปรองดองของชาวฝรั่งเศสที่มีความขัดแย้งค่อนข้างสูงตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยพรรค La Republique En Marche (REM) ของ Macron ซึ่งเป็นพรรคการเมืองใหม่ และพรรค Democratic Movement (MoDem) ซึ่งเป็นพรรคพันธมิตร จะได้ที่นั่งรวม 460 ที่นั่ง ขณะที่พรรคชาตินิยมขวาจัดของ Marine Le Pen ได้มาเพียง 6 ที่นั่งในการเลือกตั้งรอบ 2 เมี่อวันอาทิตย์
ท่ามกลางชาวฝรั่งเศสที่ออกมาใช้สิทธิ์บางตาเพียง 35.33% น้อยที่สุดในรอบ 20 ปี นับตั้งแต่ปี 1997 ที่มีผู้มาสิทธิ์สูงถึง 58.1% ต่อมาในปี 2002 มีผู้ใช้สิทธิ์ 46,83% ในปี 2007 มีผู้ใช้สิทธิ์ 49.58% และครั้งก่อนในปี 2012 มีผู้ใช้สิทธิ์ 46.42%

3.วุฒิสภาสหรัฐผ่านร่างกฎหมายแซงก์ชันรัสเซียฉบับใหม่ เนื่องจากสาเหตุการเข้าแทรกแซงแลือกตั้งสหรัฐในปี 2016 ที่ผ่านมา และเพื่อให้เกิดปนะโยชน์ต่อการส่งออกก๊าซธรรมชาติของสหรัฐด้วยนั้น แต่ส่งผลกระทบต่อการซื้อขายก๊าซธรรมชาติของรัสเซียกับหลายประเทศในยุโรป โดยล่าสุดรัฐบาลเยอรมันและออสเตรียได้ออกแถลงการณ์ประท้วงว่า อาจจะส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของสหรัฐกับยุโรปในทางลบมากขึ้น
โดยกลุ่มธุรกิจของยุโรปที่ได้ผลกระทบจากกฎหมายแซงก์ชันฉบับใหม่ดังกล่าว ที่ทำให้เกิดความเข้มงวดในการซื้อก๊าซธรรมาติจากรัสเซีย จะดำเนินการฟ้องร้องเพื่อโต้ตอบมาตรการของสหรัฐ โดยเฉพาะรัฐบาลของเยอรมันได้ขู่ให้รัฐบาลของทรัมป์ต้องไม่ดำเนินมาตรการตามมติดังกล่าวในขณะนี้

4.มหาเศรษฐีอเมริกันครอบครองความมั่งคั่ง 70% ของประเทศ หรือเท่ากับ 50% ของความมั่งคั่งทั่วโลก ทั้งนี้ จากรายงานของ BCG ชี้ว่า ในปี 2016 ที่ผ่านมา ความมั่งคั่งของมหาเศรษฐีชาวอเมริกันมาจากมูลค่าราคาสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นถึง 28% โดย 2 ใน 3 เป็นการรขับเคลี่อนมาจากเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ขณะที่ในญี่ปุ่นลดลงถึง 31%
ในรายงานของ Boston Consulting Group ยังชี้ว่า มหาเศรษฐีในภาคธุรกิจและครัวเรือนที่มีความมั่งคั่งัวโลกราว 70 ล้านคน หรือเพียง 1% ของประชากรทั่วโลกหว่า 7,000 ล้านคนนั้น สามารถครอบครองความมั่งคั่งเป็นมูลค่าสูงถึง 166.5 ล้านล้านดอลลาร์จนถึงปี 2021


5.เพียงช่วงเวลา 2 ปีที่ราคา Bitcoin พุงขึ้นนับ 1,000% จากผลการผ่อนคลายเชิงปริมาณการเงินหรือ QE ของธนาคารกลางใน 4 ประเทศหลัก แต่ล่าสุดสาเหตุการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางกลับส่งผลต่อดีมานด์ซื้อขาาย Bitcoin ลดลง โดยเฉพาะการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อีก 0.25% จนกระทบกับราคา Bitcoin ดิ่งลงทันทีถึง 25% ในช่วงเวลาแค่ 18 ชั่วโมงเมี่อวันพฤหัสฯทิ่แล้ว มาอยู่ที่ 2,078 ดอลลาร์ จากระดับราคา 2,500 ดอลลาร์เมื่อวันพุธ และดิ่งลงมากกว่า 30% จากราคาพีค 3,000 ดอลลาร์ในช่วงต้นสัปดาห์ก่อน
อย่างไรก็ตาม ตลาดคาดหวังว่า อัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรปที่ติดลบอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการประกาศยกเลิกธนบัตรในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา เช่นกรณีอินเดียมีการยกเลิกธนบัตรมูลค่า 500 และ 1,000 รูปี หรือในกรณีของเวเนซูเอลา ได้ส่งผลให้ดีมานด์ใน Bitcoin กลับมีมากขึ้น ซึ่งสวนทางกับทิศทางนโยบาย Normalization ของเฟดที่ทำการขึ้นดอกเบี้ยและการลดฐานะในงบดุลและลดภาระการแทรกแซงทางการเงินใน QE ที่เป็นการพิมพ์เงินออกมาจำนวนมหาศาลในช่วงวิกฤติการเงินสหรัฐและซับไพรม์สนับตั้งแต่ปี 2007 ถึง 4.5 ล้านล้านดอลลาร์ ให้ลงเหลือเป้าหมายที่ 2-2.5 ล้านล้านดอลลาร์

logoline