svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

ตลาดหุ้นไทยจะไปที่ 2,000 -2,500 จุด!

02 พฤษภาคม 2560
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

ตื่นมารวย กับ หมวย-ธนวัน เปิดเป็นคอลัมน์แล้วค่ะ ทุกสัปดาห์ หมวย จะเชิญผู้เชี่ยวชาญด้าน การเงิน-การลงทุน มาพบกับผู้อ่านทางเว็บเนชั่นทีวี เพื่อชี้ช่อง บอกทางรวย แบบ "ตื่นมารวย" สำหรับผู้อ่านซึ่งสนใจการลงทุน และสัปดาห์นี้ พบกับ "พิชัย จาวลา" นักลงทุนชื่อดัง วิเคราะห์ตลาดหุ้นไทยปี 2560 แบบฟันธง

พิชัย จาวลา นักลงทุนชื่อดัง ฟังธง ตลาดหุ้นไทยจะไป 2,000 -2,500 จุด ในอีกไม่เกิน 3 ปีข้างหน้า ภายใต้ระบบความคิดการลงทุนด้วยทฤษฏีผลประโยชน์
คุณพิชัย จาวลา วิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นในปี 2560 ด้วยทฤษฏีผลประโยชน์ เขามองว่า ดัชนีหุ้นในระดับ 1,500-1,600 จุดในปัจจุบันนี้ ในเชิงทฤษฏีผลประโยชน์ ถือว่าเข้าเขต OVERSOLD ขึ้นแล้ว คือเกิดการขายหุ้นมากจนเกินไป ถึงแม้ดัชนีจะขึ้นมาอยู่ในระดับสูงในระดับนี้ก็ตาม ซึ่งอาจจะขัดแย้งกับมุมมองทั่วไปของตลาดที่มองว่าเมื่อหุ้นอยู่ในระดับสูง ควรเข้าเขต OVERBOUGHT คือเกิดการซื้อหุ้นมากจนเกินไป
โดยเขาให้เหตุผลตามทฤษฏีผลประโยชน์ เปรียบเทียบกับคำว่า "รู้อยู่ในความคิด กับรู้อยู่นอกความคิด"
รู้อยู่ในความคิด คือเราจะถูกความคิดครอบงำ โดยไม่มีสติ เราจะหลง เราจะลอย แล้วเวลาที่เราประเมินอะไรก็ตาม อาจจะแฝงไปด้วยความกลัวเกินไป หรือมีความกล้าเกินไปโดยที่เราไม่รู้ตัว เพราะเราไม่เคยตรวจสอบความคิด
แต่ถ้ารู้อยู่นอกความคิด เราจะรู้ตัวว่า ความคิดเรามีส่วนผสมของอารมณ์อยู่เยอะมาก ก่อนที่เราจะตัดสินอะไร เราต้องออกมาอยู่นอกความคิดตัวเองก่อน แล้วกลับไปตรวจสอบความคิดตัวเองก่อน เราถึงจะได้คำตอบที่แท้จริงว่า ที่เราคิด คือความจริงไหม คำตอบของสิ่งที่เราจะประเมินมันแฝงไปด้วยอารมณ์มากขนาดไหน ต้องแยกแยะให้ถูกต้อง
ซึ่งในการคิดเชิงทฤษฏีเหตุผล เขาแนะนำให้นักลงทุนสังเกตุก่อนตัดสินใจลงทุน ว่าเราใช้วิธีการ รู้อยู่ในระบบเหตุผล กับรู้อยู่นอกระบบเหตุผล มาเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจ เพราะปัจจุบันในการคิดของเราเชิงเหตุผล เราไม่รู้ถึงการมีอยู่ของระบบเหตุผล เพราะมันกลายเป็นเนื้อเดียวกับเรา เรารู้สึกว่าการคิดเชิงเหตุผลเป็นการคิดแบบอัตโนมัติของคนเรา
แต่นักลงทุนสามารถแยกตัวเองออกมาจากระบบเหตุผลได้ เพื่อมาตรวจสอบระบบเหตุผลก่อนว่า ความคิดนั้นถูกต้องจริงไหม
ซึ่งหากประเมินการลงทุนอยู่ในระบบเหตุผล ณ สถาณการณ์ปัจจุบันนี้ ที่ตลาดหุ้นอยู่ที่ระดับ 1500 กว่านี้ เราก็จะบอกว่าเหตุผลทุกข้อจะชี้ให้ระมัดระวัง และดูน่ากลัวและดูตลาดหุ้นมี DOWNSIDE มากกว่า เช่น SET อยู่ในระดับที่สูงแล้ว มีแนวต้านอยู่ที่ระดับ 1600 จุด เศรษฐกิจก็ไม่ดี กำไรบริษัทจดทะเบียนก็ไม่โดดเด่น PE ก็แพง จะเอา UPSIDE มาจากไหน แถมมีคลุมเครือด้านสถานการณ์ด้านสงครามที่ยังไม่ชัดเจนอีก
ซึ่งหากนักลงทุนตัดสินภายใต้ระบบเหตุผล ก็จะบอกกับตัวเองว่า อย่าเพิ่งซื้อหุ้นในตอนนี้เลย รอก่อนดีกว่า
แต่ถ้าเราออกมาอยู่นอกระบบเหตุผล ก่อนตัดสินใจว่าจะขายหรืออย่าเพิ่งซื้อหุ้น นักลงทุนต้องออกมาอยู่นอกกรอบเหตุผลก่อน แล้วมองกลับไปที่ความคิดของคนส่วนใหญ่ หากคนส่วนใหญ่มองว่า ณ สถาณการณ์ปัจจุบัน ไม่ควรซื้อหุ้น ควรขายมากกว่า หรือซื้อก็เพียงแค่เก็งกำไร หากคนส่วนใหญ่คิดเห็นเหมือนกันทั้งหมด
แปลว่าคนที่คิดอยู่ในระบบเหตุผลทั้งหมดแม้จะคิดถูก แต่คนกลุ่มใหญ่ขายกันหมด ซึ่งทำให้เกิดการ OVERSOLD ซึ่งคุณพิชัย ย้ำว่าหากเราอยู่นอกระบบความคิด จะเห็นได้ว่า เหตุผลที่เราใช้คิดว่าหุ้นจะต้องลงต่อได้แน่แน่ ก็ให้เกิดการ OVERSOLD หรือเข้าเขตขายมากเกิดไป ซึ่งในเชิงเทคนิคเป็นจังหวะของการซื้อ
ซึ่งคุณพิชัยให้ข้อคิดว่า เหตุผลแม้จะถูกต้อง แต่หากเหมือนกันหมด และทำถูกเหมือนกันหมดทุกคน มันไม่มีความหมาย ไม่มีประโยชน์ สู้เราส่วนน้อยที่ผิดตามตรรกะยังจะดีซะกว่า เพราะกฏของโลกทุนนิยมจะให้คุณค่าให้รางวัลกับคนส่วนน้อยเสมอ

ตลาดหุ้นไทยจะไปที่ 2,000 -2,500 จุด!


คุณพิชัย ประเมินต่อไปว่า ภายใต้กรอบคิดนี้ หุ้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในปีนี้ที่ระดับ 1,650-1,700 จุด และภายใน 3 ปีข้างหน้า ตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นไปทะลุระดับ 2000-2500 จุด !!!
ซึ่งสถาณการณ์ที่จะขับเคลื่อนให้ดัชนีหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นไปขนาดนั้น นักลงทุนหลายคนคงสงสัย คุณพิชัยบอกต่อว่า นักลงทุนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจว่าสถาณการณ์เป็นตัวกำหนดราคาอยู่เพียงด้านเดียว แต่ภายใต้แนวคิดนี้ ราคาก็สามารถกำหนดสถาณการณ์ได้ ราคาที่เคลื่อนตัวขึ้นจากผลประโยชน์ของคนส่วนน้อยจะทำให้หุ้นขึ้น
และพอหุ้นขึ้นเยอะๆ สถาณการณ์ดีดีต่างๆ จะตามมาทันที จากไม่จริงก็จะกลายเป็นจริง นักลงทุนก็จะกล้ามากขึ้น อยู่ดีดีบางบริษัทผลประกอบการไม่ดี แต่ราคาเพิ่มสูงขึ้น บางทีก็กล้าลงทุนต่อ หรือได้โอกาสในการขยายกิจการในภาวะแบบนี้ ซึ่งทำให้กิจการหลายกิจการกำไรโตฉาบฉวยได้ เพราะฉะนั้นมันมีสองด้าน คือ ราคากำหนดสถานการณ์ และสถานณการณ์กำหนดราคา
ซึ่งนี่เป็นทฤษฏีของ จอร์จโซรอส นักลงทุนชื่อดังของโลกที่ได้อธิบายถึงกฏนี้ไว้
โดยกลยุทธิ์ที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยภายใต้ทฤษฏีผลประโยชน์ในขณะนี้ ควรหาจังหวะซื้อหุ้นภายใต้บรรยากาศการลงทุนที่ไม่ดีแบบนี้ ขึ้นไม่ขาย ลงให้ซื้อ เป็นเวลาที่ดีที่สุดที่จะเก็บสะสมหุ้น เพื่อลงทุนยาวใน 2-3 ปีข้างหน้า เพราะเขามองว่าในปี 2560 นี้ตลาดหุ้นจะเป็นลักษณะแกว่งตัวออกด้านข้าง
หากจะปรับตัวขึ้นก็ไม่เกิน 1700 จุด ดังนั้นหากนักลงทุนคิดที่จะลงทุนเพื่อหวังผลตอบแทนในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า ตลาดหุ้นในปัจจุบันอยู่ในระดับที่น่าลงทุนและจะให้ผลตอบแทนสูง เพราะภายใต้ทฤษฏีผลประโยชน์ คุณพิชัยฟันธงว่า ตลาดหุ้นไทยมีโอกาศปรับตัวขึ้นไปทะลุ 2,000-2,500 จุด ภายในอีกไม่เกิน 3 ปีข้างหน้านี้
ติดตามเคล็ดลับการลงทุนได้ในรายการ "ตื่นมารวย" กับ หมวย-ธนวัน ได้ทาง Nation TV 22 ทุกวัน จ-ศ เวลา 7.15 น.

logoline