มีข้อมูลมากมายบอกถึงอันตรายจากควัน ทั้งควันธูป ควันเผากระดาษเงินกระดาษทอง และการจุดประทัดในช่วงเทศกาลตรุษจีน
โดยกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เผยแพร่ข้อมูลถึงสารพิษที่เกิดจากการ “เผากระดาษเงินกระดาษทอง” รวมถึงสิ่งประดิษฐ์รูปต่างๆว่า ควันที่ได้จะมีสารพิษประเภท “โลหะหนัก” เจือปนถึง 4 ชนิด ได้แก่
การสูดดมสารเหล่านี้ ย่อมทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพร่างกาย ตั้งแต่ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ และเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง โดยเฉพาะเด็กเล็ก สตรีมีครรภ์ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคหอบหืด โรคภูมิแพ้ โรคถุงลมปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคระบบหัวใจและ หลอดเลือด
ในขณะที่ “ควันธูป” มีทั้งฝุ่นละอองและสารมลพิษเช่นเดียวกัน โดยสารก่อมะเร็งในควันธูป ได้แก่
โดยเกิดจากการเผาไหม้ของกาว ขี้เลื่อย และน้ำหอมในธูป ซึ่งสามารถก่อให้เกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งเม็ดเลือด มะเร็งปอด และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ และยังมีสารที่ทำให้ระคายเคือง ตาและระบบทางเดินหายใจ ได้แก่ ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หากสูดดมเป็นเวลานานอาจทำให้มีอาการ ปวดศีรษะ เหนื่อยล้า หรือหมดสติได้
การเผาไหม้ควันธูปทำให้เกิดสารพิษมากมายไม่ต่างจากการ “สูบบุหรี่” หรือ “ท่อไอเสียรถยนต์” ล้วนมีความเป็นพิษกับร่างกายไม่สามารถสูดดมได้เป็นระยะเวลานาน สร้างผลกระทบกับร่างกายทั้งในระยะสั้นและระยะยาวขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละคน
โดยนักวิจัยไทยพบว่า ในสถานที่ที่มีการจุดธูปต่อเนื่อง เช่น วัด ศาลเจ้า หรือโรงทาน จะมีสารเบนโซเอไพรีนสูงกว่าปกติ 63 เท่า อีกทั้งคนทำงานในวัดมีสารก่อมะเร็งในเลือดและปัสสาวะสูงกว่าคนทั่วไป 4 เท่า ซึ่งอาจนำไปสู่มะเร็งหลากหลายชนิดได้ในอนาคต
เช่นเดียวกับสารที่เกิดการเผาไหม้อาจทำให้เกิดการระคายเคืองตาและจมูก อาจนำไปสู่ “การอักเสบของเยื่อบุตา” แต่ที่มากกว่าคือทางเดินหายใจที่นอกจากอาการ ไอ ระคายคอ หายใจลำบาก ในกรณีร้ายแรงอาจถึงขั้นหมดสติ นอกจากนี้ ยังอาจทำให้เป็นปัญหาทางเดินหายใจในระยะยาวจนอาจลุกลามไปถึงมะเร็งปอดได้เลยทีเดียว
ส่วนสารโลหะหนักในกระดาษเงินกระดาษทอง คือสารชนิดเดียวกับที่พบจากโรงงานอุตสาหกรรมหนักทั้งหลาย ที่หากสูดเข้าไปสะสมเป็นเวลานานจะทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงทั้ง เด็ก ผู้สูงอายุ สตรีมีครรภ์ และผู้มีโรคประจำตัว
โดยอันตรายที่เกิดขึ้นเป็นไปได้ตั้งแต่ ผลกระทบต่อสมองและการพัฒนาในเด็กเล็ก, อาการโลหิตจาง เวียนศีรษะ ชักกระตุก หมดสติ จนอาจทำให้ไตวายในผู้สูงอายุ, ผลกระทบต่อพัฒนาการลูกในท้องของสตรี ไปจนถึงอาการในระบบทางเดินหายใจ ตั้งแต่ภูมิแพ้ หอบหืน ถุงลมปอดอุดกั้นเรื้อรัง จนถึงโรคหัวใจ จึงเป็นสิ่งอันตรายควรหลีกเลี่ยงอย่างยิ่งในกลุ่มเสี่ยง
นอกจากประเด็นด้านสุขภาพแล้วอีกส่วนที่มีความสำคัญไม่แพ้นกันคือประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม เขม่าหรือเถ้าที่เกิดภายหลังการเผาไหม้มีโลหะหนักซึ่งเป็นสารพิษความอันตรายสูง จำเป็นต้องจัดการอย่างเป็นระบบและรัดกุม ต้องปฏิบัติเป็นขยะมลพิษ เพื่อป้องกันไม่ให้ฟุ้งกระจายไปในอากาศ แหล่งน้ำ จนถึงอาหาร
นางสาวปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) เปิดเผยว่า ตามประเพณีเทศกาลตรุษจีนจะมีการจุดธูป จุดพลุ จุดประทัด การเผากระดาษเงินกระดาษทอง เพื่อการเคารพบรรพบุรุษและเทพเจ้า ทั้งที่บ้าน ศาลเจ้า และสถานที่ต่างๆ กิจกรรมเหล่านี้ก่อมลพิษทางอากาศที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพประชาชนแบบภัยเงียบ งานวิจัยหลายเรื่องระบุว่า การจุดธูปและการเผากระดาษเงินกระดาษทอง จะเกิดฝุ่นขนาดเล็ก ก๊าซพิษ สารอินทรีย์ระเหยง่าย โลหะหนัก ซึ่งมีสารก่อมะเร็งบางชนิดรวมอยู่ และสารมลพิษอื่น ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้หากมีการรับสัมผัสในปริมาณที่มากเกินไป มีอาการเบื้องต้น เช่น เกิดการระคายเคืองตาและระบบทางเดินหายใจ (แสบตา คัดจมูก จาม ไอ ระคายคอ) และหากรับสัมผัสเป็นระยะเวลาต่อเนื่องยาวนานอาจเกิดผลกระทบที่รุนแรงขึ้น
ทั้งนี้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีข้อห่วงใยต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนและปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ที่เกี่ยวเนื่องกับกิจกรรมเทศกาลตรุษจีน เชิญชวนปรับเปลี่ยนวิธีการแบบดั้งเดิมมาเป็นแนวใหม่ เพื่อหลีกเสี่ยงการสูดดมจากการจุด–เผา ตามแนวทางการปฏิบัติ “ลดมลพิษ เพิ่มมงคล” ซึ่งทุกคนทำได้ เช่น
หากจำเป็นต้องจุดธูปควรดับหรือเก็บธูปให้เร็วขึ้นเพื่อป้องกันอันตรายและลดความเสี่ยงการเกิดอัคคีภัยที่มักเกิดขึ้นบ่อยในช่วงหน้าแล้ง ซึ่งนอกจากจะเป็นการช่วยลดผลกระทบต่อสุขภาพโดยตรงแล้ว ยังช่วยลดความสกปรกและมลพิษทางอากาศที่ต้นทางด้วย