นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชา ได้แสดงวิสัยทัศน์ต่อที่ประชุมสภาธุรกิจอาเซียน ซึ่งเป็นการขึ้นเวทีระหว่างประเทศครั้งแรก ก่อนหน้าการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 43 (43rd Association for Southeast Asian Nations) ที่กรุงจาการ์ตาของอินโดนีเซีย เจาะจงที่ประเด็นร้อนของอาเซียน โดยบอกว่ากัมพูชาต้องการให้เปิดการเจรจาอย่างสร้างสรรค์ ว่าด้วยเรื่องความขัดแย้งในเมียนมา
ก่อนหน้านี้อาเซียนได้บรรลุฉันทามติ 5 ข้อ ในการหาทางออกจากวิกฤตความรุนแรงในเมียนมา ที่ดูเหมือนช่วยเมียนมาซื้อเวลามากกว่านำซึ่งความหวัง ประกอบด้วย
ฮุน มาเนต วัย 45 ปี ยังบอกด้วยว่า
"กัมพูชาเริ่มดำเนินการตามวิสัยทัศน์ด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ที่มีเนื้อหาครอบคลุมหลายจุด เพื่อปกป้องสันติภาพที่ได้มาด้วยความลำบาก และเพื่อเร่งแผนพัฒนาแห่งชาติให้ไปถึงหลักชัย ในการก้าวขึ้นมาเป็นประเทศรายได้สูงภายในปี 2593"
ภายใต้วิสัยทัศน์นี้เขาได้วาง "ยุทธศาสตร์ 5 เหลี่ยม" (pentagon strategy) ที่โฟกัสไปที่ 3 ประเด็นหลัก คือ การพัฒนาต้นทุนมนุษย์ (human capital), การส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (economic digital) และการไม่แบ่งแยก (inclusivity) และความยั่งยืน (sustainability) ที่เขาบอกว่าต้องมีองค์ประกอบสำคัญ คือ มีวิสัยทัศน์ทีชัดเจนและยืนยาว, ต้องมีความมุ่งมั่นสูง และต้องมีส่วนร่วมจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องและจำเป็นต้องมีความเสียสละ
ฮุน มาเนต เน้นย้ำถึงความสำคัญของการลงทุนด้านการศึกษา และการฝึกอบรมทักษะเพื่อบ่มเพาะแรงงานที่มีทักษะสูง ด้วยการจัดเตรียมความรู้และทักษะที่จำเป็นให้กับชาวกัมพูชา ทำให้ประเทศสามารถดึงดูดการลงทุนได้มากขึ้นและสร้างงานที่มีมูลค่าสูง ตลอดจนความจำเป็นในการเปิดรับเทคโนโลยีดิจิทัล และใช้ศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงภาคส่วนต่าง ๆ รวมถึงการเกษตร การท่องเที่ยว และการผลิต เขาพูดด้วยความเชื่อมั่นว่า กัมพูชาเป็นชาติที่ครั้งหนึ่งเคยเผชิญสงครามมายาวนานหลายทศวรรษ ได้พัฒนาจนกลายมาเป็นประเทศรายได้ปานกลาง และมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ 7% และย้ำถึงความจำเป็นในการปกป้องสันติภาพที่ได้มาอย่างยากลำบาก และเร่งการพัฒนาประเทศเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการเป็นประเทศที่มีรายได้สูง
ผู้นำวัย 45 ปี บอกว่า ในภาวะที่เกิดการแข่งขันทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศมหาอำนาจ ได้ส่งผลกระทบต่อสันติภาพ ความมั่นคงและความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาคอาเซียน จำเป็นที่ชาติสมาชิกอาเซียนต้องทำงานร่วมกันในการรับมือกับความท้าทายนี้ เพื่อธำรงไว้ซึ่งเสถียรภาพในภูมิภาค