
9 สิงหาคม 2568 นายพงศ์ศรัณย์ อัศวชัยโสภณ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวถึง มาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากภาษีสหรัฐหรือภาษีทรัมป์ ว่า รัฐบาลได้หารือกับทางผู้ประกอบการมาอย่างต่อเนื่อง โดยดูเป็นรายกลุ่มสินค้าที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งผู้ประกอบการแต่ละกลุ่มมีความต้องการแตกต่างกัน
สำหรับกลุ่มผู้ส่งออกอัญมณี และเครื่องประดับ โดยมีการหารือภาระภาษีนำเข้าของสหรัฐที่เพิ่มขึ้น โดยในช่วงแรกผู้นำเข้าอาจรับภาระจากภาษี 40% ของมูลค่าภาษีนำเข้าทั้งหมด และอีก 40% ขอให้รัฐช่วยแบ่งจ่าย ส่วนอีก 20% อาจส่งต่อให้ผู้บริโภคสหรัฐหรือการขึ้นราคาสินค้ากับผู้นำเข้าสหรัฐ
ทั้งนี้ กลุ่มผู้ส่งออกอัญมณี และเครื่องประดับอาจขอเวลาปรับตัว 1-2 ปี โดยอาจขอเป็นมาตรการทางภาษี เช่น การขอลดหย่อนภาษี แทนการขอ Soft Loan และในช่วงระหว่างนี้รัฐก็หากลไกอื่นในการเก็บภาษีคืนควบคู่กัน
นอกจากนี้ กลไกกองทุนเพิ่มขีดความสามารถฯ ที่ผ่านมาได้รับการอนุมัติวงเงินลงไป 10,000 ล้านบาท เป็นหนึ่งในแนวทางที่ช่วยให้ผู้ประกอบการปรับเปลี่ยนภาคการผลิตให้สามารถแข่งขันได้ในช่วงที่มีการเปลี่ยนผ่านภาษีครั้งนี้
ส่วนแนวทางการเจรจาข้อตกลงร่วมการค้าระหว่างไทย-สหรัฐ (Joint Agreement) ซึ่งขณะนี้ทีมไทยแลนด์ต้องไปเจรจารายละเอียดในรายสินค้ากว่า 10,000 รายการที่จะต้องเปิดตลาดกับสหรัฐ
รวมถึงสินค้าเกษตรบางรายการจะมีกลไกในการดูแลเกษตรกรในประเทศก่อน เช่น ข้าวโพด จะรับซื้อผลผลิตในประเทศทั้งหมดก่อนที่จะพิจารณานำเข้า พร้อมประกาศราคารับซื้อผลิตในราคานำตลาด เพื่อการันตีว่าผลผลิตที่มีในประเทศจะต้องได้รับการรับซื้อทั้งหมด
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า แม้รัฐบาลประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจได้ไม่ชัดเจน แต่รัฐบาลอยู่ระหว่างการเตรียมมาตรการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ ทั้งผู้ประกอบการ ผู้ส่งออกและเกษตรกร โดยจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเป็นแพ็กเกจ ควบคู่ไปกับการจัดทำแผนปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ โดยแบ่งการเยียวยาผลกระทบเป็น 3 มาตรการ ดังนี้
1.มาตรการเงินอุดหนุนช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ โดยดำเนินการผ่านกองทุนที่มีอยู่แล้วในการสนับสนุนเงินทุนให้ผู้ได้รับผลกระทบ ประกอบด้วย
กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดย ครม.อนุมัติงบประมาณเพิ่มให้กองทุน 10,000 ล้านบาท จากงบกลางรายการกระตุ้นเศรษฐกิจปีงบประมาณ 2568 ซึ่งแนวทางการช่วยเหลือจะให้เงินลงทุนปรับปรุงเครื่องจักรเป็นดิจิทัลมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้เกิดการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ
กองทุนช่วยเหลือเพื่อการปรับตัวของภาคการผลิต และภาคบริการที่ได้รับผลกระทบจากเปิดเสรีทางการค้า (กองทุน FTA) ซึ่งจะสนับสนุนเงินให้ผู้เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้าในการปรับโครงสร้างการผลิตภาคเกษตร โดยกระทรวงพาณิชย์กำลังจัดทำข้อเสนองบประมาณให้กองทุน FTA เพิ่มเติม
ทั้งนี้ตั้งแต่ปี 2549 ถึงปัจจุบัน กองทุน FTA ช่วยภาคเกษตรที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีการค้า 35 โครงการ วงเงิน 1,208 ล้านบาท แต่การดำเนินการจากนี้อาจต้องแก้ไขระเบียบเพื่อให้สอดคล้องแนวทางการเก็บภาษีของสหรัฐ
2.มาตรการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน) ผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐเบื้องต้น 200,000 ล้านบาท นอกจากนั้นกระทรวงการคลังยังมีการประสานกับธนาคารพาณิชย์เพื่อเตรียมซอฟต์โลนเพิ่มเติมเพื่อรองรับผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐด้วย
สำหรับการใช้กลไกของ Soft Loan อาจจะอยู่ในกลุ่มผู้ประกอบการที่ต้องสต๊อกสินค้าเอาไว้ และจำเป็นต้องมีสภาพคล่องในช่วงนั้น เพื่อช่วยขับเคลื่อนธุรกิจต่อไปได้
นอกจากนี้รัฐบาลศึกษาแนวทางการทบทวนการใช้งบกลางรายการประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568 ที่เหลืออยู่ 24,000 ล้านบาท ไปชำระคืนหนี้ให้กับธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ คือ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.)
3.มาตรการด้านภาษีเพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวได้ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านภาษี 19% เช่น การลดหย่อนภาษี การลดภาษีเงินได้นิติบุคคลหรือการให้เครดิตภาษี โดยกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณารายละเอียด
นอกจากนี้ ก่อนหน้านี้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้คำแนะนำกับรัฐบาลในการใช้งบกลางรายการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568 ในส่วนที่เหลือ 24,000 ล้านบาท ควรติดตาม และประเมินผลสัมฤทธิ์ของการใช้งบประมาณอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีกระบวนการตรวจสอบ และเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณชนให้เป็นรูปธรรม และมีความโปร่งใส