
ความคืบหน้าเรื่องการเจรจาภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ระหว่างไทยกับสหรัฐจะครบกำหนดเส้นตายวันที่ 1 ส.ค.2568 หากเจรจาไม่ทันหรือข้อเสนอไทยไม่โดนใจสหรัฐมากพออาจทำให้อัตราภาษีของไทยอยู่ที่ 36% สูงกว่าประเทศคู่แข่งในอาเซียน
ล่าสุดทีมไทยแลนด์ได้เจรจากับสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) รอบที่ 2 ผ่านระบบการประชุมทางไกลเมื่อวันที่ 17 ก.ค.2568 โดยไทยยื่นข้อเสนอเพิ่มเติมให้สหรัฐพิจารณาโดยขณะนี้อยู่ระหว่างรอคำตอบจากสหรัฐซึ่งในฟากฝั่งของรัฐบาลคาดหวังว่าประเทศไทยจะได้รับการลดภาษีลงมาอยู่ในระดับที่แข่งขันได้กับประเทศอื่นๆในภูมิภาค
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การเจรจาภาษีศุลกากรตอบโต้กับสหรัฐเป็นการทำงานระดับปฏิบัติการซึ่งอยู่ระหว่างหารืออัปเดตตัวเลขเล็กน้อย หลังจากที่ทีมไทยแลนด์ยื่นข้อเสนอเพิ่มเติมกับ USTR เมื่อวันที่ 17 ก.ค.2568 ส่วนจะนัดหมายเจรจาครั้งถัดไปเมื่อไหร่นั้นต้องรอการตอบกลับจากสหรัฐ
ขณะที่ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า แนวทางการเจรจาของไทยจะไม่รับข้อเสนอที่เปิดตลาดทั้งหมดให้สินค้านำเข้าจากสหรัฐเหมือนประเทศอื่นที่บรรลุข้อตกลงกับสหรัฐแล้ว เพราะกังวลผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจ
อาทิ เวียดนามที่บรรลุข้อตกลงได้ภาษีส่งออกไปสหรัฐ 20% ส่วนนำเข้าจากสหรัฐ 0% ไม่จบแค่การเปิดตลาดให้สหรัฐ เพราะข้อตกลงระหว่างประเทศตามหลักการชาติที่ได้รับความอนุเคราะห์สูงสุด (Most-Favored Nation) เวียดนามต้องเปิดตลาดอย่างเท่าเทียมให้ประเทศคู่ค้าที่ทำข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ด้วย
ทั้งนี้ การทำข้อตกลง FTA มีสินค้าหลายตัวที่ไทยจำกัดการนำเข้าเพื่อปกป้องเอกชนและเกษตรกรไทย ดังนั้นหากยอมลดภาษี 0% ให้สหรัฐก็จะถูกหยิบยกขึ้นมาว่าต้องลดให้ประเทศอื่นที่เป็นคู่ค้า
“หากยอมลดภาษี 0% ให้ประเทศหนึ่งก็จะต้องลดให้ประเทศอื่นที่เป็นคู่ค้าที่ไทยมีข้อตกลงการค้าด้วยเช่นเดียวกัน จะทำให้เกิด ‘เขื่อนแตก’ เกิดความเสียหายกับธุรกิจในประเทศ โดยเฉพาะสินค้าเกษตรที่อ่อนไหว” นายจุลพันธ์ กล่าว
ทั้งนี้ การเจรจาภาษีกับสหรัฐยืนอยู่บนหลักการที่ไทยต้องการให้ได้ประโยชน์ร่วมกัน 2 ฝ่าย หากฝ่ายหนึ่งได้ประโยชน์ฝ่ายเดียว หรืออีกฝ่ายได้ประโยชน์ทั้งหมดคงตกลงกันไม่ได้
“รอเวลานิดนึงให้สหรัฐพิจารณาข้อเสนอ แล้วตอบกลับมาก่อนว่าสุดท้ายจะจบตรงไหน แต่เรายืนยันว่าข้อตกลงใหม่ต้องสมดุล เอกชนไทยต้องอยู่ได้ กลุ่มเปราะบางอย่างภาคเกษตรต้องอยู่ได้”
นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ข้อเสนอใหม่ของไทยให้สหรัฐลดภาษีนำเข้า 0% หลายหมื่นรายการ นั้น ไม่ต้องตกใจเป็นเพียงตัวเลขพิกัดศุลกากร หากนับเป็นประเภทสินค้าไม่มีจำนวนมากขนาดนั้น
ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงทิศทางการค้าโลกต้องเกิดขึ้น ไม่มีทางที่โลกจะย้อนกลับไปจุดเดิมก่อนที่สหรัฐจะประกาศภาษีอีกแล้ว ต่อให้สหรัฐเปลี่ยนตัวประธานาธิบดีต่อไปหรือไม่ ดังนั้นภาคเอกชนต้องปรับตัว โดยรัฐบาลมีหน้าที่สนับสนุนเบื้องต้นและเตรียมซอฟต์โลน วงเงิน 200,000 ล้านบาท ให้ภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบเดินหน้าต่อและประคองการจ้างงาน
นอกจากนี้ ไทยต้องเตรียมปรับตัวด้านการส่งออกขยายไปตลาดใหม่และลดพึ่งพาตลาดประเทศใดประเทศหนึ่งเป็นหลัก และต้องจับตาทิศทางการค้าโลกที่เปลี่ยนไปหลังจากนี้ ซึ่งอาจมีโอกาสเกิดขึ้นในช่วงเวลาวิกฤติ รวมทั้งหากไทยคว้าโอกาสมาได้จะเกิดประโยชน์
ขณะเดียวกันไทยต้องกลับมาพิจารณาการลงทุนภายในประเทศ โดยสินค้าที่ไทยผลิตเองจะต้องให้ความสำคัญลำดับต้น ส่วนสินค้าที่เข้ามาใช้สิทธิประโยชน์และยังก้ำกึ่งว่าถิ่นฐานการผลิตจากประเทศไทย สัดส่วน Local Content เพียงพอหรือไม่