
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยเจอปัญหาสารพัดทั้งปัจจัยภายในและภายนอกทำให้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจปี 2568 ลงจาก 3.0% เหลือ1.7% สำหรับประเด็นเสถียรภาพการเมืองประเมินไว้ 3 กรณี คือ
1.นายกฯ อยู่ ตลอดทั้งปี 2568 (กรณีฐาน) รวมกระทบจีดีพี 11,034 ล้านบาท หรือ 0.06%
2.มีนายกฯ คนใหม่จากพรรคแกนนำเดิม กระทบจีดีพี 37,692 ล้านบาท หรือ -0.20%
3.นายกฯ ยุบสภา กระทบจีดีพี 112,257 ล้านบาท หรือ -0.66%
ทั้งนี้ ต้องจับตาการชุมนุมใหญ่วันที่ 28 มิ.ย.นี้ว่า จะมีผู้เข้าร่วมชุมนุมมากน้อยแค่ไทยจะสั่นคลอนคะแนนนิยมรัฐบาลได้ขนาดไหน อีกทั้งดูศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินให้นายกฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ หากตัดสินให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ รองนายกฯ อาจเข้ามาปฏิบัติหน้าที่แทน ภายใต้นายกฯ ยังเป็นคนเดิม งบประมาณจะสามารถขับเคลื่อนได้ต่อ
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ไทยกำลังเผชิญหน้าพายุวิกฤตหลายลูกพร้อมกันทั้งปัญหาภายในที่เรื้อรัง และปัจจัยภายนอกที่รุนแรงอย่างน้อย 4 ด้าน หากมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองตอนนี้ อาจนำพาเศรษฐกิจที่กำลังประคองตัวอยู่สู่หายนะ ทำให้ผู้ใช้แรงงานและ SME ลำบากหนักกว่าเดิม
นายเกรียงไกร กล่าวว่า ปัญหาการเมืองในประเทศเป็นเสมือนหล่มที่ฉุดรั้งประเทศมานาน จากโครงสร้างระบบการเมืองอ่อนแอ แต่ที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่า คือ ไทยกำลังถูกซ้ำเติมด้วยปัญหาภายนอกที่หนักหน่วง ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อภาคเศรษฐกิจ ได้แก่
1.การเจรจาภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐ ซึ่งเป็นเรื่องคอขาดบาดตายต้องเร่งเดินหน้า โดยการที่สหรัฐประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าไทยสูงถึง 36% ใกล้ครบกำหนด 90 วัน หากรัฐบาลเกิดสุญญากาศ ไม่มีผู้นำที่มีอำนาจเต็มการเจรจาอาจทำให้สหรัฐอาจไม่เชื่อถือ และจะกระทบรุนแรงการส่งออกไทย
2.ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา โดยวิกฤติชายแดนเริ่มจากการปิดด่านและกระทบกระทั่งกัน กำลังสร้างความเสียหายมหาศาลต่อการค้าชายแดนกระทบต่อรายได้ 500 ล้านบาทต่อวัน ซึ่งสมาชิก ส.อ.ท.หลายรายได้รับผลกระทบทางตรง ทั้งที่ส่งสินค้าไม่ได้และโรงงานในกัมพูชาต้องหาวัตถุดิบจากแหล่งอื่นด้วยต้นทุนสูงขึ้น ซึ่งไม่รู้ว่าจะยืดเยื้อนานแค่ไหน
3.ความล่าช้าในการผ่านงบประมาณปี 2569 หากยุบสภาฯ หรือนายกรัฐมนตรีลาออก ขณะที่งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ยังไม่ผ่านจะยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลง ซึ่งไทยเคยงบประมาณล่าช้า 8-9 เดือน ทำให้เงินกระตุ้นเศรษฐกิจหายไปส่งผลให้ผู้รับเหมาล้มละลายและเลิกจ้างจำนวนมาก
“ไม่อยากให้เกิดขึ้นอีก หากงบประมาณ 2569 ต้องหยุดชะงัก รวมถึงงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.75 แสนล้านบาท ต้องเดินหน้าทันที หากติดขัดจะเกิดปัญหา ซึ่งยังไม่ควรเปลี่ยนแปลงรัฐบาลรัฐบาลช่วงนี้เพราะมีประสบการณ์ที่ไม่ดีมาแล้ว”
4.การเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับสหภาพยุโรป (EU) ที่อยู่ช่วงโมเมนตัมที่ดี และมีเส้นตายสรุปภายในสิ้น 2568 แต่หากเปลี่ยนแปลงรัฐบาลอาจทำให้การเจรจาติดขัดและถูกเลื่อนออกไป
นายเกรียงไกร กล่าวว่า การเปลี่ยนรัฐบาลจะทำให้การทำงานมีปัญหา โดยหากยุบสภาฯ หรือนายกรัฐมนตรีลาออก จะเห็นข้าราชการเกียร์ว่าง ส่วนภาคเอกชนจะ wait and see ชะลอการลงทุนเพื่อรอดูภาพความชัดเจนว่าใครจะมาเป็นนายกรัฐมนตรี และใครจะอยู่ในคณะรัฐมนตรี (ครม.) และจะมีอำนาจขับเคลื่อนนโยบายแค่ไหน