
เรียกว่าเป็น "ปีทอง" ของบรรดาทีมรองบ่อนอย่างแท้จริง เพราะจากสโมสรอังกฤษที่คว้าแชมป์รายการใหญ่ในฤดูกาลนี้ (ก่อนที่เชลซีจะลงเตะรอบชิงชนะเลิศคอนเฟอเรนซ์ลีก) มีถึง 3 ทีมที่ยุติการรอคอยแชมป์อันยาวนานได้สำเร็จ
และไม่ใช่แค่ในอังกฤษ เพราะทั่วทั้งยุโรป เราได้เห็นทีมอย่าง อาร์เซน่อลทีมหญิง, อเบอร์ดีน, โก อเฮด อีเกิลส์ และซันเดอร์แลนด์ สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่อย่างน่าทึ่ง
และนี่คือทีมที่สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ขึ้นในปีนี้
"สติน่า แบล็กสเตเนียส" ยิงประตูชัยให้กับ อาร์เซน่อล เอาชนะ บาร์เซโลนา 1-0 คว้าแชมป์ยุโรปหญิงครั้งแรกในรอบ 18 ปี ทั้งที่ก่อนเกม “ไอ้ปืนใหญ่หญิง” ถูกมองว่าเป็นรองสุดกู่ เมื่อเทียบกับบาร์ซ่าที่มีดีกรีแชมป์ยุโรป 3 จาก 4 ฤดูกาลหลัง และมีดาวดังอย่าง ไอตานา บอนมาติ กับ อเล็กเซีย ปูเตญาส ในทีม
แชมป์รายการใหญ่ครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1969
แม้จะไม่ได้ถูกมองว่าเป็นทีมรองบ่อนโดยตรง แต่นิวคาสเซิลก็ถือว่าเป็น “ทีมล้มเหลวจากความคาดหวัง” ที่ร้างแชมป์มานานถึง 56 ปี
แต่ชัยชนะ 2-1 เหนือลิเวอร์พูลที่เวมบลีย์ เมื่อวันที่ 16 มีนาคม ก็ยุติการรอคอยและนำโทรฟี่แรกมาสู่ถิ่นเซนต์เจมส์พาร์คอย่างยิ่งใหญ่ โดยมี "แดน เบิร์น" และ "อเล็กซานเดอร์ อิซัค" เป็นฮีโร่ในวันนั้น
แชมป์ระดับเมเจอร์ครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร
วันที่ 17 พฤษภาคม กลายเป็นวันประวัติศาสตร์ของ คริสตัล พาเลซ เมื่อพวกเขาโค่นแมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1-0 ในนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ที่เวมบลีย์ จากประตูชัยของ "เอเบเรชี เอเซ่" และจุดโทษที่ "ดีน เฮนเดอร์สัน" เซฟไว้ได้
นอกจากเป็นแชมป์แรกของสโมสร ยังทำให้พวกเขาได้ตั๋วลุยยูโรปาลีกฤดูกาลหน้าอีกด้วย
แชมป์แรกนับตั้งแต่ ลีกคัพ 2008
แม้จะมีขนาดทีมใหญ่ รายได้สูง และแฟนบอลทั่วโลก แต่ “ไก่เดือยทอง” กลับไม่สามารถคว้าแชมป์รายการใหญ่ได้เลยมานานถึง 17 ปี
กระทั่งปีนี้ ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ สามารถเฉือนชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด 1-0 ในนัดชิงชนะเลิศยูโรปาลีกที่เมืองบิลเบา โดยได้ประตูจาก "เบรนแนน จอห์นสัน" และถือเป็นแชมป์ยุโรปรายการแรกของสโมสรนับตั้งแต่ปี 1984
แชมป์สกอตติชคัพครั้งแรกในรอบ 35 ปี
อเบอร์ดีน สร้างช็อกครั้งใหญ่ ด้วยการเอาชนะทีมเต็งอย่าง กลาสโกว์ เซลติก ดีกรีแชมป์ลีกสกอตแลนด์ ในการดวลจุดโทษรอบชิงชนะเลิศ นี่คือแชมป์รายการใหญ่รายการที่สองของพวกเขานับตั้งแต่ปี 1996 และครั้งแรกของถ้วยนี้นับตั้งแต่ปี 1990
เลื่อนชั้นกลับพรีเมียร์ลีก
“แมวดำ” พลิกสถานการณ์จากตามหลัง และจบฤดูกาลด้วยการเอาชนะเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด 2-1 ในเกมเพลย์ออฟ นัดชิงชนะเลิศที่เวมบลีย์ ทำให้พวกเขาเลื่อนชั้นกลับพรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ
โทรฟี่แรกในรอบ 51 ปี
โบโลญญ่าโค่นเอซี มิลาน 1-0 ในนัดชิงที่สตาดิโอ โอลิมปิโก จากประตูชัยของ "แดน เอ็นดอย" กลายเป็นแชมป์แรกของสโมสรตั้งแต่ปี 1974 และแชมป์โคปปา อิตาเลีย ครั้งแรกในยุคฟุตบอลสหัสวรรษใหม่
โทรฟี่แรกในรอบ 18 ปี
แม้จะถูกมองว่าเหนือกว่าชัดเจนในการเจอกับทีมระดับดิวิชัน 3 อย่างอาร์มีเนีย บีเลเฟลด์ แต่ชัยชนะครั้งนี้ก็มีความหมายไม่น้อยสำหรับแฟน “ม้าขาว” เพราะเป็นถ้วยแรกนับตั้งแต่คว้าแชมป์บุนเดสลีกาในฤดูกาล 2006/07
โทรฟี่แรกในรอบ 92 ปี
ชัยชนะเหนือ อาแซด อัล์คมาร์ ในการดวลจุดโทษ หลังจากตีเสมอช่วงทดเวลา กลายเป็นการสิ้นสุดการรอคอยโทรฟี่นานที่สุดในยุโรปฤดูกาลนี้ เพราะแชมป์ล่าสุดก่อนหน้านี้ต้องย้อนไปถึงปี 1933!
...
ด้วยผลงานของทีมเหล่านี้ ทำให้ฤดูกาล 2024/25 จึงกลายเป็นปีที่พิสูจน์ให้เห็นว่า ในโลกฟุตบอลไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ ตราบใดที่ยังมีความเชื่อ และลงเล่นด้วยหัวใจ
*** แปลและเรียบเรียงจาก The season of the underdog - and the underachiever ใน BBC SPORT